คืบหน้า 21 วัน กวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้า 1,741 คดี มูลค่ากว่า 231 ล้านบาท “จิราพร” ย้ำเดินหน้าต่อ 

       จากข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ที่กำหนดเป้าหมายกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าภายใน 30 วัน และมอบหมายให้นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าภาพร่วมกับ 20 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

       เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 และได้มีการเริ่มดำเนินการปราบปรามกวาดล้างทันที ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 หลังจากนั้นทุกหน่วยงานได้ร่วมกันกำหนดแนวทางปฏิบัติงานนำสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง ทั้งการจับกุม  การลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า และอุปกรณ์ รวมถึงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ถึงพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า และกำหนดอัตราโทษที่เกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการกวาดล้างอย่างจริงจังตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ - 18 มีนาคม 2568 เป็นเวลา 21 วัน มีความคืบหน้าอย่างมาก โดยมีการจับกุมอายัดบุหรี่ไฟฟ้าได้ 1,741 คดี มูลค่าของกลางกว่า 231 ล้านบาท และได้ปิดกั้นเพจหรือเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับการขายบุหรี่ไฟฟ้า ประมาณ 9,500 เพจ หลังจากนี้ นางสาวจิราพร ระบุว่า จะเดินหน้าปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจังต่อเนื่อง และรายงานผลปฏิบัติงานต่อนายกรัฐมนตรีเมื่อครบกำหนด 30 วัน หรือในวันที่ 27 มีนาคม 2568

นายกฯ ย้ำ ไม่จบไม่เลิก สั่งการเด็ดขาด บุหรี่ไฟฟ้าต้องหมดไป ลงตรวจโกดังย่านบางบัวทอง ด้วยตัวเองหลังพบคลังเก็บบุหรี่ไฟฟ้ามูลค่ากว่า 130 ล้านบาท 

(18 มี.ค. 68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ติดตามความคืบหน้าการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย ที่โกดัง อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี หลังตำรวจชุดสืบนครบาล IDMB (Investigation Division Metropolitan Police Bureau ) บูรณาการร่วมกับฝ่ายปกครองจังหวัดนนทบุรี เปิดปฏิบัติการ “Operation Smoke Out” ปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมายในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี จำนวน 10 จุด ผลการตรวจค้น สามารถตรวจยึดของกลาง เป็นบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า และอุปกรณ์ ที่เกี่ยวข้องรวมกันกว่า 260,000 รายการ มูลค่ารวมกว่า 130,000,000 บาท 

นายกรัฐมนตรี กล่าวชื่นชมและขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็ง พร้อมทั้งเน้นย้ำ ให้ดำเนินคดีผู้นำเข้า ผู้ขาย และหน่วยงานราชการที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด โดยให้เร่งขยายผลถึงเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อรื้อถอนขบวนการลักลอบค้าบุหรี่ไฟฟ้าให้หมดไป นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กำชับให้ผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา ตระหนักว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย หากตรวจพบว่าบุคลากรทางการศึกษาคนใด นำบุหรี่ไฟฟ้ามาใช้ จะถูกดำเนินการทางกฎหมายและทางวินัย 

นายกรัฐมนตรี ยังย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญถึงผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและเยาวชนไทย พร้อมเดินหน้าบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนและสร้างสังคมที่ปลอดภัยจากบุหรี่ไฟฟ้า โดยภารกิจนี้ ไม่จบไม่เลิก 

“จิราพร” ประชุมหารือมาตรการเกี่ยวกับการควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า ครั้งที่ 4

(19 มี.ค. 68) นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือมาตรการเกี่ยวกับการควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า ครั้งที่ 4 โดยที่ประชุมแจ้งผลสถิติการจับกุมการกระทำผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ - 18 มีนาคม 2568 ผลการจัดทำแอปพลิเคชันทางรัฐ ของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ในการจัดทำแพลตฟอร์มแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า การแถลงข่าวการปราบปรามจับกุมผู้ต้องหาลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 ผลการประชุมหารือวิธีดำเนินการเกี่ยวกับการอนุมัติทำลายของกลางบุหรี่ไฟฟ้า และผลการหารือแผนปฏิบัติการควบคุมการแพร่ของบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา 

คืบหน้า 21 วัน กวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้า 1,741 คดี มูลค่ากว่า 231 ล้านบาท 

(19 มี.ค. 68) นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลความคืบหน้า “การแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า” นางสาวจิราพร กล่าวว่า สืบเนื่องจากข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ตนเองเป็นเจ้าภาพร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหามาตรการคุมเข้มและปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ ได้เชิญ 20 หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องประชุมอย่างเร่งด่วน ซึ่งที่ประชุมแบ่งการทำงานเป็น 3 ส่วน คือ 1. ระยะเร่งด่วน ปูพรม กวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าที่เป็นสินค้าผิดกฎหมาย เน้นการดำเนินการในพื้นที่ชายแดนและด่านศุลกากร โดยเพิ่มมาตรการตรวจเข้มขึ้น และใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด 

2. การปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้ายังครอบคลุมถึงการขยายผลในหลายด้าน เช่น การตรวจสอบร้านค้าที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ และร้านค้าออนไลน์ ซึ่งในเรื่องนี้มีหน่วยงานหลายภาคส่วนร่วมมือกัน โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตรวจสอบร้านค้าออนไลน์ที่มีการขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มข้น หากพบกรณีที่มีมูลค่าของกลางเกิน 500,000 ชิ้น จะถูกส่งต่อไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ทันที แต่หากมูลค่าของกลางต่ำกว่า 500,000 ชิ้น ทางตำรวจจะดำเนินการสืบทรัพย์และส่งให้ สำนักงาน ปปง. เพื่อดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมยังได้ปิดกั้นเพจหรือเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับการขายบุหรี่ไฟฟ้า ประมาณ 9,500 เพจแล้ว

3. การสร้างความตระหนักรู้และการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับโทษของบุหรี่ไฟฟ้าและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้กรมประชาสัมพันธ์ร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีเครือข่ายหอกระจายข่าวทั่วประเทศกว่า 80,000 จุด เพื่อกระจายข่าวและข้อมูลเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าให้แก่ประชาชน 

สำหรับความคืบหน้ามาตรการเร่งด่วนโดยเฉพาะการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าและกวาดล้าง นับจากวันที่นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และได้เริ่มดำเนินการทันที ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ – 18 มีนาคม 2568 ระยะเวลา 21 วัน มียอดการจับกุมดำเนินคดี จำนวน 1,741 คดี ผู้ต้องหา จำนวน 1,789 คน ของกลาง จำนวน 1,285,024 ชิ้น มูลค่าจำนวน 231,881,074 บาท มีการยกระดับการทำงานที่เข้มข้น โดยเฉพาะมีการส่งข้อมูลไปยัง ปปง. เพื่อสืบเส้นทางการเงินและขยายผลการจับกุมไปถึงต้นตอรายใหญ่ นอกจากนี้ยังมีช่องทางการแจ้งเบาะแสส่วนต่าง ๆ และมีการพัฒนาแพลตฟอร์มให้ประชาชนสามารถแจ้งผ่านทางแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” 

นางสาวจิราพร กล่าวว่า หลังจากการดำเนินการปราบปรามอย่างเข้มข้นจะรายงานนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับมอบหมายภายใน 30 วัน หรือ ในวันที่ 27 มีนาคม 2568 ถึงสถิติการจับกุม อุปสรรค และข้อปัญหาต่าง ๆ    ที่จะมีการแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อไป

พลตำรวจโทอัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ปี 2568 นี้ ไฮไลต์อยู่ในช่วงรัฐบาลดำเนินการเข้มงวดกวดขัน มีการจับกุมปราบปรามเพิ่มขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ ช่วง 26 กุมภาพันธ์ - 18 มีนาคม 2568 สามารถจับกุมได้ 1,700 ราย ของกลางกว่า 1 ล้านชิ้น เป็นการจับกุมรายใหญ่ 24 ราย ของกลาง 1.2 ล้านชิ้น ซึ่งมูลค่าของกลางคำนวณได้กว่า 248 ล้านบาท ทั้งนี้ หากมีการแจ้งเบาะแส หรือร้องเรียนเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ในส่วนของตำรวจแจ้ง 191 หรือ 1599 และสายด่วน ปคบ. 1135 และย้ำถึงข้อกฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งห้ามนำเข้า ขาย ครอบครอง และสูบ โดยมีโทษตามกฎหมายที่ชัดเจน ดังนี้ 1. ห้ามนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับ 5 เท่าของมูลค่าสินค้า 2. ห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก  ไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 600,000 บาท 3. ห้ามครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับ 4 เท่าของมูลค่าราคาอากร 4. ห้ามสูบบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่สาธารณะหรือเขตปลอดบุหรี่ ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท

นายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า มาตรการที่ได้ทำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน มาจนถึงข้อสั่งการของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร โดยนำระบบข้อมูลบัญชีสินค้ามาขยายผลเชื่อมโยงกับข้อมูลผู้นำเข้าและประเทศต้นทาง อีกหนึ่งมาตรการคือการตรวจสอบทางกายภาพในทุกการขนส่งสินค้าทางเรือ ซึ่งในกรณีของบุหรี่ไฟฟ้ามีการเพิ่มสัดส่วนการเปิดตรวจเข้มข้นในระดับสูงสุด สำหรับมาตรการตามแนวชายแดนและตามลำน้ำพบว่า จะมีการลักลอบเข้ามาตามบริเวณแนวด่านชายแดน และจะมีการคุยกับศุลกากรประเทศต้นทางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ทั้งนี้ หากผู้ใดพบเห็นการลักลอบผลิต ขายบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ หรือแจ้ง สคบ. ได้ที่สายด่วน 1166 เว็บไซต์ www.ocpb.go.th แอปพลิเคชัน OCPB Connect รวมทั้งศูนย์ดำรงธรรม ในทุกจังหวัด 

นายวรณัฎฐ์ หนูรอต ที่ปรึกษาด้านการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย มีข้อสั่งการทุก 76 จังหวัด ทุกอำเภอ ทั้ง 887 อำเภอ ในประเทศไทย ได้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดยกระดับความสำคัญเป็นเรื่องเร่งด่วนของจังหวัด 

นายกมลสิษฐ์ วงศ์บุตรน้อย รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กล่าวว่า สำนักงาน ปปง. ได้นำมาตรการริบทรัพย์สินใช้กับผู้กระทำความผิด ซึ่งกรณีบุหรี่ไฟฟ้าเป็นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับลักลอบหนีศุลกากร ซึ่งได้ใช้กฎหมายฟอกเงินมาบูรณาการ ล่าสุดเฉพาะรายคดีใหญ่ 17 ราย อยู่ในกระบวนการขั้นตรวจสอบเส้นทางการเงิน 

นางสาวทรงศิริ จุมพล รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า ปัจจุบันแอปพลิเคชันทางรัฐ ได้มีช่องทางพิเศษในการแจ้งเบาะแสแล้ว สามารถใช้ได้ตั้งแต่วันนี้ ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบันปี 2568 สคบ. ได้ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจับกุม ปราบปราม ยึด อายัดเรื่องของบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า และบางราย สคบ. สามารถดำเนินการยึดอายัดได้เอง และส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีต่อไป ซึ่งการดำเนินการในส่วนกลาง พื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งหมด 54 แห่ง ส่วนภูมิภาค 22 แห่ง ได้ผู้ต้องหาทั้งหมด 256 ราย ของกลาง 320,000 ชิ้น มูลค่า 92.6 ล้านบาท รวมถึงรณรงค์ไม่ให้ผู้บริโภคยุ่งเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า และร่วมกับสถานศึกษา เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค 29 เครือข่าย ลงพื้นที่จัดนิทรรศการให้ความรู้ ทั้งในกรุงเทพมหานครและภูมิภาค

 

#คืบหน้า21วันกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้า1741คดีมูลค่ากว่า231ล้านบาท #เดินหน้ากวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้า #ไม่จบไม่เลิกบุหรี่ไฟฟ้าต้องหมดไป #สำนักนายกรัฐมนตรี #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง

 


image รูปภาพ
image

Line

คะแนนโหวต :
StarStarStarStarStar